5 เช็กลิสต์ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ
เลือกอย่างไรไม่ให้พลาด?
เลือก “บ้านหลังที่สอง” ให้คนที่คุณรัก ด้วยเกณฑ์ที่รูปถ่ายบอกไม่ได้
การเลือก "ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ" หรือที่หลายคนคุ้นหูว่า "Nursing Home" เปรียบเสมือนการเลือกบ้านหลังที่สองให้กับคนที่เรารักที่สุด หลายครอบครัวเริ่มต้นด้วยการค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต เห็นรูปห้องพักสวยๆ หรือโปรโมชั่นราคาที่น่าสนใจก็ตัดสินใจจองทันที แต่ในความเป็นจริง "ภาพที่เห็น" อาจไม่ใช่ "สิ่งที่เป็น" เสมอไป และที่สำคัญคือ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่รูปภาพบอกไม่ได้ มักเป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและลมหายใจของคนที่คุณรัก
จากประสบการณ์อันยาวนานของทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแล และฟื้นฟูผู้สูงอายุ KIN Rehabilitation & Homecare เราพบว่าความผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดในการเลือกศูนย์ดูแล คือการตัดสินใจจาก "ราคา" หรือ "รูปถ่าย" เพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้ลงไปสัมผัสรายละเอียดหน้างาน วันนี้เราจะพาคุณไปเจาะลึก 5 เช็กลิสต์ศูนย์ดูแลผู้สงอายุ เพื่อให้คุณใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือก "บ้านหลังที่สอง" ที่ปลอดภัยให้กับครอบครัวคุณ
1. บรรยากาศและความสะอาด ต้องพิสูจน์ให้ถึง "กลิ่น"
เช็กลิสต์ข้อแรกที่สำคัญที่สุดและโกหกกันไม่ได้คือเรื่องของสุขอนามัย รูปถ่ายอาจแต่งแสงให้สวยได้ แต่ "กลิ่น" หลอกกันไม่ได้ครับ เมื่อคุณก้าวเท้าเข้าไปในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ สิ่งแรกที่ต้องสังเกตคือ "กลิ่น" ต้องไม่มีกลิ่นอับชื้น กลิ่นปัสสาวะ กลิ่นอาหารบูดเน่า หรือแม้แต่กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่รุนแรงจนแสบจมูก เพราะสิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงระบบการจัดการความสะอาด ระบบระบายอากาศ และความใส่ใจของเจ้าหน้าที่ หากมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ นั่นหมายความว่าการเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือการทำความสะอาดพื้นผิวทำได้ไม่ดีพอ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของเชื้อโรค
ต่อมาคือเรื่องของ "แสงสว่างและการออกแบบ" ผู้สูงอายุมีสภาพจิตใจที่เปราะบาง หากต้องไปอยู่ในห้องที่มืดทึบ เพดานต่ำ หรือดูแออัดเหมือนหอพักผู้ป่วยรวม จะส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้ง่าย สถานที่ที่ดีต้องออกแบบตามหลัก "Universal Design" หรืออารยธรรมสากลเพื่อคนทุกวัย พื้นห้องและทางเดินต้องเรียบเสมอขอบประตู ไม่มีสเต็ปหรือธรณีประตูให้สะดุดล้ม ประตูห้องน้ำต้องกว้างพอให้รถเข็นเข้าได้สะดวก และมีราวจับพยุงตัวติดตั้งในจุดสำคัญ
ลองสังเกตดูว่าบรรยากาศโดยรวมให้ความรู้สึกแบบไหน? ศูนย์ดูแลที่ดีควรหาจุดสมดุลระหว่าง "ความอบอุ่นเหมือนบ้าน" (Homey) เพื่อให้ผู้สูงอายุไม่รู้สึกแปลกที่ กับ "ความปลอดภัยระดับโรงพยาบาล" (Hospital Grade) คือมีความสะอาด ปลอดเชื้อ และเป็นระเบียบเรียบร้อย หากคุณเดินเข้าไปแล้วรู้สึกหดหู่ ให้เชื่อสัญชาตญาณตัวเองได้เลยว่า ที่นี่อาจยังไม่ใช่คำตอบ
2. “การฟื้นฟู" อย่าจ่ายเงินเพื่อแค่ "ฝากดูแล" แต่ต้อง "รักษา"
นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะบอกว่าเงินที่คุณจ่ายไปนั้นคุ้มค่าหรือไม่ หลายคนเข้าใจผิดว่าศูนย์ดูแลผู้สูงอายุคือสถานที่สำหรับให้คนแก่นอนพักผ่อน มีคนป้อนข้าวป้อนน้ำก็เพียงพอแล้ว แต่ในทางการแพทย์ การปล่อยให้ผู้สูงอายุนอนติดเตียงเฉยๆ โดยไม่มีกิจกรรมทางกาย คือการเร่งความเสื่อมถอยของร่างกาย กล้ามเนื้อจะลีบลง ข้อต่อต่างๆ จะเริ่มติดยึด จนในที่สุดอาจกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงถาวรที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย
ดังนั้น เช็กลิสต์ข้อที่สองที่คุณต้องมองหาคือ "ห้องกายภาพบำบัด" และ "นักกายภาพบำบัดวิชาชีพ" (Physical Therapist) ประจำศูนย์ ลองสอบถามเจ้าหน้าที่เลยว่า ที่นี่มีโปรแกรมฟื้นฟูอย่างไรบ้าง? สำหรับผู้ป่วย Stroke หรือผู้ป่วยหลังผ่าตัด มีการฝึกยืน ฝึกเดิน (Gait Training) อย่างไร? มีเครื่องมือกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยไฟฟ้า หรือเครื่องอัลตราซาวด์ลดปวดหรือไม่?
ศูนย์ดูแลที่มีคุณภาพจะต้องไม่มองผู้สูงอายุเป็นเพียง "ผู้ถูกดูแล" แต่ต้องมองเป็น "ผู้ที่ต้องได้รับการฟื้นฟู" เป้าหมายสูงสุดคือการทำให้ท่านกลับมามีศักยภาพในการใช้ชีวิตให้ได้มากที่สุด เช่น จากที่เคยต้องป้อนข้าว ก็ฝึกให้หยิบช้อนทานเองได้ จากที่เคยนอนติดเตียง ก็ฝึกให้ลุกนั่งหรือยืนโหนราวได้ การฟื้นฟูเหล่านี้คือการคืนให้ผู้รับบริการกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ หรือยังสามารถช่วยเหลือตนเองได้
3. "สุขภาพใจและกิจกรรม" คือการเสริมสร้าง "ความสุข"
"ความเหงา" และ "ความโดดเดี่ยว" คือศัตรูตัวฉกาจที่กัดกินหัวใจผู้สูงอายุ หลายท่านเมื่อต้องย้ายออกจากบ้านเดิมมาอยู่ที่ศูนย์ฯ มักมีความรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง หรือรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ดังนั้น "กิจกรรมบำบัด" จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม
ลองขอดูตารางกิจกรรมประจำวันของศูนย์นั้นๆ ว่าในแต่ละวันทำอะไรบ้าง? หากคำตอบคือ "ตื่นมา กินข้าว ดูทีวี แล้วก็นอน" นั่นอาจยังไม่ดีพอ ศูนย์มาตรฐานต้องมีการออกแบบกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นสมองและสังคม (Cognitive & Social Stimulation)
ตัวอย่างกิจกรรมที่ดี เช่น "ศิลปะบำบัด" การระบายสีหรือทำงานฝีมือช่วยฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กและสมาธิ "ดนตรีบำบัด" ช่วยผ่อนคลายความเครียด "การปลูกต้นไม้" ช่วยให้รู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติ หรือกิจกรรมกลุ่มที่เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุได้นั่งล้อมวงพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนวัยเดียวกัน การได้มีสังคม ได้หัวเราะ ได้แชร์เรื่องราวในอดีต จะช่วยชะลอภาวะสมองเสื่อม (Dementia) และป้องกันโรคซึมเศร้าได้อย่างชะงัด
ภาพรอยยิ้มที่คุณเห็นในโบรชัวร์ จะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อศูนย์แห่งนั้นให้ความสำคัญกับ "ความสุข" เท่าๆ กับ "สุขภาพ"
4. "ทีมผู้ดูแล" หัวใจสำคัญของการบริการตลอด 24 ชั่วโมง
ไม่ว่าสถานที่และอุปกรณ์จะดีเลิศแค่ไหน แต่สุดท้ายคนที่จะอยู่ข้างกายพ่อแม่เรา สัมผัสตัวท่าน ป้อนข้าว เช็ดตัว และพูดคุยกับท่านตลอด 24 ชั่วโมง คือ "ทีมผู้ดูแล" นี่คือปัจจัยชี้ขาดเรื่องความปลอดภัยและความสบายใจ
เมื่อไปเยี่ยมชมศูนย์ ให้ลองสังเกตการทำงานของเจ้าหน้าที่ ดูสีหน้าแววตาว่ามีความยิ้มแย้มแจ่มใส มีความใจเย็น หรือดูเหนื่อยล้าหงุดหงิด? สังเกตวิธีการพูดคุยกับผู้สูงอายุว่ามีความเคารพและให้เกียรติหรือไม่?
ในเชิงระบบ คุณต้องสอบถามให้ลึกถึงโครงสร้างทีมงาน มาตรฐานความปลอดภัยต้องประกอบด้วย "ทีมสหวิชาชีพ" ไม่ใช่แค่การจ้างแรงงานต่างด้าวหรือคนเฝ้าไข้ทั่วไปมาดูแล
- • พยาบาลวิชาชีพ (RN): ต้องมีหัวหน้าพยาบาลคอยกำกับดูแลแผนการรักษา การบริหารยา และประเมินอาการ
- • ผู้ช่วยพยาบาล (NA/PN): ผู้ที่ลงมือดูแลกิจวัตร ต้องผ่านการอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุอย่างถูกต้อง รู้วิธีการพลิกตัวไม่ให้เจ็บ รู้วิธีการเคาะปอด รู้วิธีสังเกตการสำลัก
- • อัตราส่วนการดูแล: ถามให้ชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่ 1 คน ดูแลผู้ป่วยกี่คน? หากอัตราส่วนสูงเกินไป เช่น 1 ต่อ 10 การดูแลย่อมไม่ทั่วถึง และความเสี่ยงก็จะตกอยู่ที่คนที่เรารัก
5. "ความพร้อมเหตุการณ์ฉุกเฉิน และอุปกรณ์" เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ
เราคงไม่อยากให้เกิดเหตุร้าย แต่การเตรียมพร้อมคือสิ่งที่ประมาทไม่ได้ ผู้สูงอายุมีความเปราะบางสูง อาการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เช็กลิสต์ข้อสุดท้ายจึงเป็นเรื่องของ "อุปกรณ์ช่วยชีวิต"
ลองกวาดสายตาดูว่าในห้องพักหรือบริเวณใกล้เคียง มีถังออกซิเจนสำรองเตรียมไว้หรือไม่? มีเครื่องดูดเสมหะ (Suction) ที่พร้อมใช้งานไหม? มีรถเข็นฉุกเฉิน (Emergency Cart) ที่บรรจุอุปกรณ์กู้ชีพเบื้องต้นวางอยู่ในจุดที่หยิบใช้สะดวกหรือไม่?
นอกจากอุปกรณ์ภายในแล้ว "ระบบการส่งต่อ" (Referral System) ก็สำคัญ ถามทางศูนย์ฯ ว่าหากคุณพ่อคุณแม่เกิดภาวะวิกฤต เช่น หัวใจหยุดเต้น หรือหายใจไม่ออก ทางศูนย์มีขั้นตอนปฏิบัติอย่างไร? ใช้เวลาเดินทางไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดกี่นาที? และเป็นโรงพยาบาลเครือข่ายที่ประสานงานกันได้รวดเร็วหรือไม่? คำตอบของคำถามเหล่านี้จะช่วยการันตีความอุ่นใจว่า หากเกิดวินาทีชีวิตขึ้นจริงๆ คนที่คุณรักจะถึงมือหมอได้ทันเวลา
เพราะ "คุณภาพชีวิต" รอไม่ได้ และ "การฟื้นฟู" คือคำตอบ
การเลือกศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ไม่ใช่การผลักภาระ ไม่ใช่การทอดทิ้ง แต่เป็นการตัดสินใจด้วยความรักที่ต้องการมอบ "คุณภาพชีวิตที่ดีกว่า" ให้กับท่าน การดูแลที่บ้านด้วยความรักอาจเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น แต่หากขาดความพร้อมด้านอุปกรณ์และการแพทย์ ก็อาจกลายเป็นความเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว
เช็กลิสต์ทั้ง 5 ข้อนี้ คือเกณฑ์มาตรฐานที่ KIN Rehabilitation & Homecare ยึดถือเป็นหัวใจในการให้บริการ เราออกแบบพื้นที่ทุกตารางนิ้ว คัดสรรบุคลากรทุกตำแหน่ง และวางโปรแกรมการดูแลฟื้นฟู โดยยึดประโยชน์สูงสุดของผู้สูงอายุเป็นที่ตั้ง เพราะเราเชื่อว่า "การฟื้นฟู" สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ให้เกิดขึ้นได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการกลับมายืนได้อีกครั้ง การกลับมาทานอาหารอร่อยๆ ได้อีกหน หรือเพียงแค่รอยยิ้มที่มีความสุขในทุกๆ วัน
วันนี้ หากคุณกำลังมองหาที่พักพิงที่ไว้ใจได้ เราขอเชิญชวนให้คุณเข้ามา "พิสูจน์ด้วยตาตัวเอง" อย่าเพิ่งเชื่อคำโฆษณา หรือรูปถ่ายสวยๆ แต่อยากให้ลองเข้ามาเดินดูบรรยากาศจริง มาพูดคุยกับทีมแพทย์ พยาบาล และนักกายภาพบำบัดของเรา มาดูให้เห็นกับตาว่าทำไมหลายครอบครัวถึงวางใจให้เราดูแลคนสำคัญที่สุดของเขา
เพราะสำหรับเรา... ผู้สูงอายุไม่ใช่แค่คนไข้ แต่คือ "ญาติผู้ใหญ่" ที่เราเคารพรัก และเราพร้อมจะดูแลท่านให้ดีที่สุดในทุกช่วงเวลาของชีวิต
